จับเข่าคุย พระพยอม พระมหาสมปอง (22/12/2550)
ต่อจากตอนก่อนเมื่อวันที่ 15 ครับ
จับเข่าคุย - พระพยอม พระมหาสมปอง (15/12/2550)
มาคุยกันต่อด้วยเนื้อหา และประสบการณ์ที่น่าสนใจครับ...
ทั้งหมดนี้ อาจเป็นเรื่องสมมุติ
จับเข่าคุย พระพยอม พระมหาสมปอง (22/12/2550)
ต่อจากตอนก่อนเมื่อวันที่ 15 ครับ
จับเข่าคุย - พระพยอม พระมหาสมปอง (15/12/2550)
มาคุยกันต่อด้วยเนื้อหา และประสบการณ์ที่น่าสนใจครับ...
รายการจับเข่าคุย สัมภาษณ์พระพยอม กัลยาโน และพระมหาสมปอง ตาลปุตโต
พระนักเทศน์ที่ดังที่สุดในสองยุคสองสมัย
ขอเชิญรับชมรับฟังครับ
รายการโต๊ะข่าวบันเทิง 30/11/2550
สัมภาษณ์ รัชฏะ สมรทินกร ผู้พากย์เสียงพระพุทธเจ้า
ในภาพยนตร์อนิเมชัน พระพุทธเจ้า (The Life of Buddha)
.
ในที่สุด ก็ได้รู้เสียทีว่าใครเป็นผู้พากย์
เรียกว่าได้มาแบบโค้งสุดท้ายก่อนหนังจะฉายเลยนะครับนี่
นี่แหละครับ มารไม่มีบารมีไม่เกิด...
ผมค้นพบว่า...
ถ้าหากเรามัวแต่จับผิด เพ่งโทษผู้อื่นอยู่เสมอได้
แสดงว่า อย่างน้อย เราเป็นผู้รู้ว่าสิ่งใดดี สิ่งใดไม่ดี...
แต่นั่น ก็ต้องอยู่บนพื้นฐานแห่งความ "รู้จริง" ด้วย
เพราะถ้ารู้แบบโง่ๆ สุดท้าย ก็คือการจับผิด ที่ผิดซ้ำซ้อน
และวงจรความโง่ ก็จะไม่รู้จบสิ้น
เพราะเราไม่ขจัดต้นตอความโง่ของตัวเองก่อน
.
จากนั้น หากมัวแต่เพ่งโทษผู้อื่นไปเรื่อยๆ
เคยย้อนมีสติกลับมาถามตัวเองหรือไม่ว่า
สุดท้ายแล้ว สิ่งที่เราจับผิดผู้อื่นอยู่เนืองๆนั้น
เราได้กระทำเสียเองบ้างหรือเปล่า...
เพราะจากการสังเกตุเห็นในหลายครั้ง
ผู้ที่จับผิด ก็มักจะกระทำผิดเสียเองเสมอ
โดยเบื้องต้นแห่งการทำนั้น มักเกิดจาก
1. ยอมผ่อนปรนบรรทัดฐานของตัวเอง
ทำนองว่าเขาทำไม่ได้เด็ดขาด แต่ถ้าเราทำก็ลดหย่อนได้บ้าง
2. เห็นแต่โทษของผู้อื่น แต่ของตนกลับตาบอด มองไม่เห็น
อันนี้เรียกว่าเป็นขั้นกว่า เพราะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าทำผิดไปเสียแล้ว
.
เอาเป็นว่า ลองมามีสติพิจารณากันดูอย่างสม่ำเสมอกันดีกว่าว่า
สิ่งใดที่เรามักจะว่าผู้อื่น สิ่งนั้นแล เรามักจะกระทำเสียเอง
จะโดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตามเถอะ
แต่ตอนนี้ถ้าเรารู้แล้ว เห็นแล้ว และยอมรับว่ามันไม่ดีจริงๆ
เหมือนที่เราเคยเพ่งโทษผู้อื่น ไม่ผิดเพี้ยน
ก็เป็นนิมิตหมายอันดีที่จะแก้ไข และเลิกกระทำความไม่ดีอันนั้น
ตนเตือนตนนั่นแหละดี
อย่าปล่อยจนกระทั่งคนอื่นมาเตือน
โดยเฉพาะในเรื่องที่เราก็เคยพร่ำเตือนคนอื่น
นั่นคือความน่าอายอย่างที่สุดของผู้ที่ "ติดดี" อย่างเราๆท่านๆ นั่นเอง...
วันนี้(10 ต.ค.)มีรายงานว่า เมื่อเวลา 09.09น. พระพรหมมังคลาจารย์ หรือ หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ เจ้าอาวาสวัดชลประทานรังสฤษฎ์ จ.นนทบุรี ได้มรณภาพแล้ว
ทั้งนี้ หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ ได้อาพาธมีอาการเจ็บหน้าอก และเข้ารักษาตัวที่ตึกอัษฎางค์ โรงพยาบาลศิริราช ตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว จนกระทั่งมรณภาพเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา สิริรวมอายุได้ 96ปี
ด่วน!!!หลวงพ่อปัญญานันทะ มรณะภาพแล้ว ด้วยวัย 96ปี
_/|\_
โถ... เป็นถึงดอกเตอร์ทุนหลวง
แทนจะเอาเวลามาทำประโยชน์ให้ชาติบ้านเมืองเต็มที่
ดันมัวแต่มาสอนวิชาธรรมกาย...
ผมไปอ่านในเว็บที่เขาเขียน ดู video ที่เขาบรรยาย
มีแต่เรื่องหลง มีแต่เรื่องเพ้อ
จินตนาการเอา นึกๆ คิดๆ เอาทั้งนั้น
บอกว่าสอนคนให้เห็นดวง เห็นธรรมกายธรรม
จะได้บุญบารมี อานิสงค์มากมาย
แต่อย่าลืมนะครับ
สอนให้คนหลงทางออกจากธรรมอันแท้
ออกจากพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อันแท้
โดยอ้างว่า นี่แหละของแท้ นี่แหละของจริง
บาปกรรมนักหนา...
พระท่านว่าแค่ระลึกถึงพระพุทธเจ้า แล้วหายใจเข้าปื้ดเดียว ก็ได้บุญแล้ว
ไม่อยากนึกว่า มิจฉาทิฐิ อันพ่นออกมาหลายปื้ด
จะส่งผลต่อเนื่องยาวนานกันไปขนาดไหน
จะได้เห็นมดแดงรุมกัดหนอนกันอีกกี่ร้อยกี่พันตัวกันหนอ...
รายการตาสว่างของคุณดู๋ สัญญา
สัมภาษณ์ท่าน ว.วชิรเมธี เรื่องเกี่ยวกับกฎแห่งกรรม
วันที่ 23/8/2550
ถึงจะเป็นเรื่องพื้นฐาน แต่ก็ยังมีคนไม่เข้าใจเยอะ
ดังนั้นถ้าเป็นชาวพุทธ ควรเข้าใจเรื่องกฎแห่งกรรมให้ดีครับ
ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นพวก "มั่ว" คิดเองเออเองเอาได้...
ท่านพูดได้น่าฟังครับ
ผมได้อ่านเจอบทความหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว
บทความนั้นสะกิดมุมมอง และแนวคิดของผมให้เติบโตขึ้นอีกระดับ
.
ผมเลยจะมาสรุปใจความสำคัญเน้นๆ ให้คุณเลย...
กับข้อถามที่ว่า ถ้ากล่าวถึง ชูชก
ผู้ที่มีบทบาทสำคัญในมหาเวสสันดรชาดก
แว่บแรก คุณต้องนึกว่าชูขกเป็นคนไม่ดีใช่ไหมครับ
ไหนจะมาขอลูกเมียท้าวเวสสันดรไปเป็นทาส
แถมยังเฆี่ยนตีทำร้ายสารพัด
รูปก็ชั่ว นิสัยก็ไม่ดี...
.
แต่ลองมองอีกมุมสิครับ...
ถ้าไม่มีชูชก... บุรุษโทษผู้อัปลักษณ์
บุรุษโทษมี18ประการ (เปรียบกับลักษณะของชูชก)
1. เท้าทั้ง2ข้างใหญ่เเละคด
2. เล็บทั้งหมดกุด
3. ปลีน่องทู่ยู่ยาน
4. ริมฝีปากบนย้อยทับริมฝีปากล่าง
5.นำลายไหลออกเป็นยางยืดทั้งสองข้างเเก้ม
6. เขี้ยวงอกออกพ้นปากเหมือนเขี้ยวหมู
7. จมูกหักฟุบดูน่าชัง
8. ท้องป่องเป็นกระเปาะดั่งหม้อใหญ่
9. สันหลังไหล่หักค่อมคดโกง
10. ตาถล่มลึก ทรลักษณ์(น่าเกลียด)ข้างหนึ่งใหญ่,ข้างนึงเล็กไม่เสมอกัน
11. หนวดเครามีพรรณ(สี) ดังลวดทองเเดง(เเข็ง)
12. ผมโหลง(น้อย)เหลืองดังสีลาน(ขาวนวล)
13. ตามตัสะครานคลำ ด้วยเเถวเอ็นนูนเกะกะ(ข้อพับล่าง)
14. มีต่อมเเมลงวันตกกระ ดังโรยงา
15. ลูกตาเหลือง,เหล่,เหลือก
16. ร่างกายคด ค้อม ในที่ทั้ง 3 (คอ, หลัง, สะเอว)
17. เท้าทั้ง 2 หันเห ห่างเกะกะ
18. ขนตามตัวหยาบดั่งแปลงหมู
จนมหาทานบารมีของท่านเต็ม และครบทั้ง 10 ทัศน์
และได้เสวยพระชาติเป็นสมณโคดมพุทธเจ้า
อันเป็นชาติอันยิ่ง เป็นชาติสุดท้าย อันจะไม่กลับมาเกิดอีก...
จึงกล่าวได้ว่า ชูชก เป็นปัจจัยสำคัญ
ในการสร้างมหาทานบารมีของพระพุทธเจ้า
ควรแล้วหรือที่เราจะกล่าวร้าย และสาปแช่งชูชก
ถ้ามองในมุมนี้
ชูชก เป็นมหาวายร้าย หรือเป็นผู้มีคุณ(ต่อเรา)กันแน่..
แล้วคนที่อยู่รอบตัวเราล่ะ
เขาเป็นมหาวายร้ายโดยส่วนเดียวหรือเปล่า...
.......
สำหรับผู้ต้องการศึกษาเพิ่มเติม
" ชู ช ก เฆี่ยนตี กั ณ ห า ช า ลี " !!!!! -> กระดาน ปริยัติธรรม | ลานธรรมเสวนา larndham.netอันจะกล่าวโดยละเอียดถึงชูชกจะขึ้นต้นว่า "กระจกวิเศษ จงบอกข้าเถิด..."
ก็ดูจะขึ้นต้นเป็นสูตรสำเร็จไปนิด...
.
แต่ก็จะพูดเรื่องเกี่ยวกับการสะท้อนภาพตัวเองนี่แหละครับ
แต่ว่าเป็นในเชิงภายใน ไม่ใช่เรื่องของภาพภายนอกนะครับ
ผมมีความเชื่ออยู่ข้อหนึ่งว่า
"ผู้คนทั้งหลาย ล้วนเป็นกระจกสะท้อนตัวตนของเราทั้งสิ้น"
เราทำสิ่งใดกับผู้อื่นอย่างไร เขาก็จะทำสิ่งเดียวกันนั้นกลับมาที่เรา
.
เหมือนที่ผู้ใหญ่เคยสอนกันมาว่า
ถ้าอยากให้คนอื่นทำดีกับเรา เราก็ต้องทำดีกับเขาก่อน
ผมก็สังเกตมานาน จนพอสรุปได้ว่า "มันเป็นจริงดังนั้น"
ด้วยการทดลองของผมเองมาหลายปี
จากพื้นฐานนิสัยของผมที่รักสงบ
ไม่ชอบมีเรื่องทะเลาะ หรือกระทบกระทั่งแรงๆ กับใคร
ผมจึงเลือกที่จะปฏิบัติกับผู้อื่นอย่างนุ่มนวล
ผมเห็นด้วยตัวเองว่า
ผมพูดเพราะกับใคร เขาก็จะพูดเพราะกลับมา
ผมปฏิบัติกับใครอย่างสุภาพ เขาก็จะปฏิบัติต่อผมอย่างสุภาพเช่นกัน
ผมไม่ชอบด่าหรือล้อพ่อแม่ใคร
จนถึงวันนี้ ก็ไม่มีเพื่อนคนไหนล้อชื่อพ่อแม่ผม
ผมไม่ชอบเรียกแทนใครด้วยสรรพนามว่า "มัน" หรือแทนด้วยสัตว์ต่างๆ
ทุกวันนี้ ก็ไม่มีใครมาเรียกแทนชื่อผมว่า "มัน" หรือนำหน้าด้วยสัตว์เลื้อยคลานเลยซักที
ผมไม่ชอบทำร้ายใคร หรือใช้กำลังกับใคร
จนทุกวันนี้ ผมก็ไม่เคยโดนใครต่อยหน้าซักที
หันไปดูเพื่อนหลายคน
เขาหยาบไป ก็ได้รับหยาบตอบ
เขารุนแรงไป ก็ได้รับรุนแรงตอบ
เขาไร้เหตุผลไป ก็ได้รับการไร้เหตุผลตอบ
เขาโกหกไป เขาก็ไม่ได้รับการเชื่อถือตอบ
แนวเดียวกับ "ฝนตกขี้หมูไหล คนจัญไรมารวมกัน" ล่ะมั๊งครับ
คนดี คนเลว สุดท้ายมันจะไหลมาอยู่ด้วยกันเอง
คนชอบแบบเดียวกัน ก็จะได้มาอยู่ด้วยกัน
คนที่มีความเห็นใกล้เคียงกัน ก็จะโดนดึงดูดให้มาเจอกัน...
.
คนเราเลือกสิ่งที่จะเจอได้เหมือนกันนะครับ
เราอยากอยู่ในสภาพแวดล้อม อยู่กับคนแบบไหน
เราก็ทำตัวเราให้เป็นแบบนั้น ให้เหมาะกับสภาพแบบนั้น
แล้วเรา และสภาพแวดล้องของเรา ก็จะเป็นไปแบบนั้นเอง...
.
ดูง่ายๆ ใน blog ที่ exteen นี่ก็ได้ครับ
ผมเขียนเนื้อหาสุภาพหน่อย มีครับ มีผม
คนที่มาอ่านส่วนใหญ่ก็จะสุภาพ ตอบคอมเม้นต์กันแบบสุภาพเช่นกัน
ซึ่งผมก็ดีใจ ที่มีคนคุณภาพดีๆ มาอ่าน
ไปบาง blog ก็เขียนหยาบคาย ใช้คำอ่านไม่รู้เรื่อง
ก็จะเจอคนมาอ่าน และตอบแบบหยาบคาย และไม่รู้เรื่องเหมือนกัน
.
.
บางทีถ้าเรารู้สึกว่าคนรอบข้างทำกับเราไม่ดี
บางที อาจจะต้องลองหันกลับมาสำรวจตัวเองเหมือนกันนะครับ
ว่าเราไปกระทำประเด็นไม่ดีอันนั้นกับคนอื่นบ้างหรือเปล่า
เพราะบางทีเราก็ไม่รู้ตัวเอง
ต้องถอยออกมาเยอะๆ แล้วก็มองไปที่ตัวเราเอง
สำรวจให้ดี บางทีก็จะได้คำตอบ
ว่าเรา หรือเขากันแน่ ที่เป็นสาเหตุ
ปัญหา
ที่จีนยอมรับไม่ได้และจะต่อสู้จนถึงที่สุดในปัจจุบันนี้มี 4 เรื่อง คือ
เรื่องการเคลื่อนไหวแยกทิเบตของกลุ่มดาไลลามะ, เรื่องไต้หวัน,
เรื่องฝ่าหลุนกง และเรื่องแก้ปัญหาความยากจน
“ฝ่าหลุนต้าฝ่า” หรือที่เรียกกันว่า “ฝ่าหลุนกง” มีรากฐานมาจากการฝึก “ชี่กง” ของชาวจีน
เป็นการบำเพ็ญตนระดับสูง เพื่อบริหารจิตใจและร่างกาย ตามหลักคุณสมบัติพิเศษของจักรวาล ได้แก่ ความจริง (เจิน), ความ
เมตตา
(ซั่น) และความอดทน (เหยิ่น)
อาศัยการอ่านหนังสือและการฝึกกระบวนท่าอย่างสม่ำเสมอ
ผู้บำเพ็ญสามารถมุ่งมั่นที่จะเป็นคนดียิ่ง ๆ ขึ้น
โดยหล่อหลอมตัวเองเข้ากับคุณสมบัติพิเศษของจักรวาล 3 ข้อดังกล่าว
หลี่หงจื้อ หรือ “อาจารย์หลี่” เป็นเจ้าลัทธิ
จริง
ๆ แล้ว หลี่หงจื้อเป็นคนเหลวไหล
เพราะภายหลังเหตุการณ์ปฏิวัติวัฒนธรรมในจีนที่อ้างว่าสำเนาทะเบียนบ้านหายไป
เขาก็ได้ไปแจ้งวันเดือนปีเกิดใหม่ เป็นวันวิสาขบูชา
และอุปโลกน์ว่าตัวเองเป็นพระพุทธเจ้ากลับชาติมาเกิด
จากนั้นก็
พยายามตั้งตัวเป็นศาสดาและเผยแพร่หลักคำสอนด้วยวิชาฝ่าหลุนกงเมื่อปี 1992
โดยเปิดชั้นเรียนสอนเป็นเวลา 2 ปี
หลังจากนั้นก็มีการบอกเล่ากันปากต่อปากจนทำให้จำนวนผู้ฝึกเพิ่มขึ้นอย่าง
รวดเร็ว และเริ่มเผยแพร่ออกไปยังประเทศต่าง ๆ
โดยชาวจีนที่เดินทางไปทำธุรกิจหรือท่องเที่ยว
ทำให้ในปัจจุบันแพร่กระจายเข้าไปใน 40 ประเทศทั้งในเอเชีย ยุโรป
สหรัฐอเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย ฯลฯ รวมทั้งประเทศไทย
โดยผู้ฝึกสามารถฝึกผ่านหนังสือและวิดีโอเทปได้ด้วยตนเอง
หลัก
คำสอนดัดแปลงมาจากพระธรรมของพระพุทธเจ้า โดยมีเป้าหมายอยู่ที่การบรรลุธรรม
แต่ได้เปลี่ยนวิธีการ หลักเกณฑ์ และกระบวนการใหม่ทั้งหมด
โดยระบุว่าผู้ฝึกสามารถบรรลุธรรมด้วยการฝึกท่ารำฝ่าหลุนกง และหากฝึกไปนาน
ๆ ผู้ฝึกก็จะกลายเป็นเทพ
คล้าย ๆ พวกลัทธิ “พระศรีอาริย์ทรงเครื่อง” ในบ้านเรายามนี้ที่ใช้การเต้นรำ (ดิ้น) เป็นการสะสมบุญ !
ใน
ชั้นนี้จะเห็นว่า ฝ่าหลุนกงเป็นขบวนการหลอกลวงต้มตุ๋นครั้งใหญ่
และอันตรายต่อมนุษยชาติ
นอกจากบิดเบือนประวัติศาสตร์และพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว
ยังทำให้คนจีนต้องตายไปเป็นจำนวนไม่น้อย
เพราะเชื่อว่ารำฝ่าหลุนกงแล้วหายจากโรคภัยไข้เจ็บ จึงไม่ไปหาหมอ
รักษาโรคตามอาการ หรือไปเมื่อสายเกินรักษา
มีหลักฐานแสดงว่า
ระหว่างเดือนพฤษภาคม 1992 ถึงปลายปี 1994 หลี่หงจื้อจัดฝึกวิชาฝ่าหลุนกง
56 รุ่น เก็บเงินได้กว่า 3 ล้านหยวน และขายหนังสือ วีดิโอเทป ได้กำไรถึง
3,886 ล้านหยวน
แล้วขนเงินจำนวนหนึ่งไปซื้อกรีนการ์ด บ้าน และรถยนต์ในสหรัฐอเมริกา !
หลี่หงจื้อไปพำนักในนิวยอร์กตั้งแต่ปี 1995
นัก
วิชาการทางด้านจีนศึกษามีความเห็นตรงกัน
ถึงสาเหตุหลักการแพร่กระจายอย่างรวดเร็วในสังคมจีนว่า
มาจากทัศนคติและความเชื่อในศาสนาของชาวจีนนั่นเอง
แม้ว่าศาสนา
หลักในประเทศจีนจะมีอยู่ 4 ศาสนา คือ พุทธ อิสลาม คริสต์ และเต๋า
ซึ่งมีศาสนสถาน กิจกรรมทางศาสนา
แต่ความเชื่อที่มีอิทธิพลมากที่สุดยังคงเป็นขงจื๊อ
ในบรรดาประชา
กรจีน 1,100 ล้านคนนั้น ผู้ที่เป็นศาสนิกชนมีประมาณ 100 ล้านคน อีกประมาณ
50 ล้านคนเป็นผู้ที่เชื่อในปรัชญาลัทธิมาร์กซ์เลนินของพรรคคอมมิวนิสต์
นอกนั้นคือผู้ที่บอกไม่ได้ว่านับถือศาสนาอะไร
เพราะเป็นพวกที่เชื่อคำสอนของขงจื๊อ
มองในมุมหนึ่งแล้วเป็นเรื่องของความอ่อนแอทางจิตวิญญาณ
สังคม
จีนลงรากลึกในคำสอนของขงจื้อมานาน แต่ขงจื๊อก็ไม่ใช่ศาสนา
ผู้คนจึงไม่มีหลักยึดอะไรชัดเจนผ่านพิธีกรรม
และวัตรปฏิบัติเหมือนศาสนิกของแต่ละศาสนา
ความอ่อนแอทางจิตวิญญาณจึงเกิดขึ้น
เป็นช่องว่างให้ลัทธิกึ่งศาสนาใหม่ ๆ เกิดขึ้นมา
ฝ่าหลุนกงเป็นหนึ่งในจำนวนนั้น
ใน
ตอนต้น ทางการจีนไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ มากนัก
จนกระทั่งสาวกลัทธินี้ได้ออกมาเรียกร้อง
ให้รัฐบาลจีนรับรองว่าฝ่าหลุนกงเป็นศาสนาหนึ่ง
เมื่อรัฐบาลจีนไม่รับรองก็ก่อการประท้วงเกิดขึ้นเนือง ๆ ในช่วงปี 1997 –
1998 รัฐบาลจีนจึงเริ่มจับตามองความเคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิด
และเริ่มเห็นว่าเป็นความเคลื่อนไหวทางการเมือง
ที่มุ่งสั่นคลอนเสถียรภาพของรัฐบาลจีน และพรรคคอมมิวนิสต์จีน
เพราะมีระบบการจัดตั้งที่รัดกุม และการดำเนินการไปในทางลับ
กระทั่งสามารถจัดการประท้วงโดยสาวกจำนวน 10,000 คนปิดล้อมจงหนานไห่
ที่พำนักและที่ทำการพรรคคอมมิวนิสต์จีน เมื่อเช้าวันที่ 25 เมษายน 1999
รัฐบาลจีนจึงถือว่าฝ่าหลุนกงเป็นขบวนการผิดกฎหมายอย่างเป็นทางการในปี 1999 นั้นเอง
และเริ่มดำเนินการปราบปราม
จน
ถึงปัจจุบัน รัฐบาลจีนเชื่อว่าขบวนการนี้มีเบื้องหลังทางการเมือง
ที่จะปลุกประชาชนจีนให้ลุกขึ้นมาต่อต้านรัฐบาลจีน และพรรคคอมมิวนิสต์จีน
รวมทั้งเชื่อว่าเป็นแผนการทำลายประเทศจีนของมหาอำนาจบางประเทศ
อย่าลืมนะครับว่าผู้นำขบวนการฝ่าหลุนกงปัจจุบันอยู่ในสหรัฐอเมริกา ได้รับการสนับสนุนจากบางองค์กรของสหรัฐอเมริกาและไต้หวัน
ขบวน
การฝ่าหลุนกงพยายามจะจัดการประชุมในประเทศไทยเมื่อวันที่ 21 – 22 เมษายน
2544 โชคดีที่ก่อนหน้านั้นในช่วงตรุษจีนของปี 2001 วันที่ 23 มกราคม
สาวกฝ่าหลุนกงในจีนจัดการประท้วงที่จตุรัสเทียนอันเหมิน แล้วเผาตัวตาย 4
คน แต่ตายจริงเพียง 1 คน
ทำให้รัฐบาลทั่วโลกจับตาและเห็นว่าเป็นขบวนการอันตราย
การประชุมในประเทศไทยจึงเลิกล้มไป !
พายัพ วนาสุวรรณ 4 เม.ย. 46
.
ก็เอามาเทียบเคียงกันนะครับแหม... ตกข่าว...
เพิ่งจะได้เข้าไปอ่านในพันทิป ห้องเฉลิมไทยhttp://video.mthai.com/player.php?id=6M1180759977M0
.