ผมค้นพบว่า...
ถ้าหากเรามัวแต่จับผิด เพ่งโทษผู้อื่นอยู่เสมอได้
แสดงว่า อย่างน้อย เราเป็นผู้รู้ว่าสิ่งใดดี สิ่งใดไม่ดี...
แต่นั่น ก็ต้องอยู่บนพื้นฐานแห่งความ "รู้จริง" ด้วย
เพราะถ้ารู้แบบโง่ๆ สุดท้าย ก็คือการจับผิด ที่ผิดซ้ำซ้อน
และวงจรความโง่ ก็จะไม่รู้จบสิ้น
เพราะเราไม่ขจัดต้นตอความโง่ของตัวเองก่อน
.
จากนั้น หากมัวแต่เพ่งโทษผู้อื่นไปเรื่อยๆ
เคยย้อนมีสติกลับมาถามตัวเองหรือไม่ว่า
สุดท้ายแล้ว สิ่งที่เราจับผิดผู้อื่นอยู่เนืองๆนั้น
เราได้กระทำเสียเองบ้างหรือเปล่า...
เพราะจากการสังเกตุเห็นในหลายครั้ง
ผู้ที่จับผิด ก็มักจะกระทำผิดเสียเองเสมอ
โดยเบื้องต้นแห่งการทำนั้น มักเกิดจาก
1. ยอมผ่อนปรนบรรทัดฐานของตัวเอง
ทำนองว่าเขาทำไม่ได้เด็ดขาด แต่ถ้าเราทำก็ลดหย่อนได้บ้าง
2. เห็นแต่โทษของผู้อื่น แต่ของตนกลับตาบอด มองไม่เห็น
อันนี้เรียกว่าเป็นขั้นกว่า เพราะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าทำผิดไปเสียแล้ว
.
เอาเป็นว่า ลองมามีสติพิจารณากันดูอย่างสม่ำเสมอกันดีกว่าว่า
สิ่งใดที่เรามักจะว่าผู้อื่น สิ่งนั้นแล เรามักจะกระทำเสียเอง
จะโดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตามเถอะ
แต่ตอนนี้ถ้าเรารู้แล้ว เห็นแล้ว และยอมรับว่ามันไม่ดีจริงๆ
เหมือนที่เราเคยเพ่งโทษผู้อื่น ไม่ผิดเพี้ยน
ก็เป็นนิมิตหมายอันดีที่จะแก้ไข และเลิกกระทำความไม่ดีอันนั้น
ตนเตือนตนนั่นแหละดี
อย่าปล่อยจนกระทั่งคนอื่นมาเตือน
โดยเฉพาะในเรื่องที่เราก็เคยพร่ำเตือนคนอื่น
นั่นคือความน่าอายอย่างที่สุดของผู้ที่ "ติดดี" อย่างเราๆท่านๆ นั่นเอง...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น